เบาหวานนั้นเกิดจากภาวะที่ร่างกายไม่สามารถสร้างหรือใช้อินซูลินได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย โดยปกติอินซูลินมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับ
การสร้างพลังงานของร่างกาย สาเหตุที่แท้จริงของโรคเบาหวานยังไม่แน่ชัด อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้เกิดโรคนี้คือ พันธุกรรม และแบบแผนการดำเนินชีวิต ผู้ที่เป็นโรคนี้อาจเสี่ยงต่อการเกิด โรคไต โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ตาบอด หรือมีการทำลายของเส้นประสาท
อาการของโรคเบาหวาน
ปัสสาวะจะบ่อยมากขึ้นถ้าระดับน้ำตาลในกระแสเลือดมากกว่า 180 มก.% โดยเฉพาะในเวลากลางคืนผู้ป่วยจะหิวน้ำบ่อยเนื่องจากต้องทดแทนน้ำที่ถูกขับออกทางปัสสาวะ อ่อนเพลีย น้ำหนักลดเกิดเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลจึงย่อยสลายส่วนที่เป็นโปรตีนและไขมันออกมา
ผู้ป่วยจะกินเก่งหิวเก่งแต่น้ำหนักจะลดลง อาการอื่นๆที่อาจเกิดได้แก่ การติดเชื้อ แผลหายช้า คัน เห็นภาพไม่ชัด ชาไม่มีความรู้สึก เจ็บตามแขนขา อาเจียน
สาเหตุของการเกิดโรคเบาหวาน
ยังไม่ทราบแน่นอนแต่องค์ประกอบสำคัญที่อาจเป็นต้นเหตุของการเกิดได้แก่ กรรมพันธุ์ อ้วน ขาดการออกกำลังกาย หากบุคคลใดมีปัจจัยเสี่ยงมากย่อมมี่โอกาสที่จะเป็นเบาหวานมากขึ้น
คำแนะนำสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน
- รับประทานอาหารให้ถูกต้องตามที่กำหนดให้ และรู้จักวิธีใช้อาหารที่สามารถทดแทนกันได้
- ใช้อินซูลิน หรือยาเม็ดให้ถูกต้องตามเวลา
- ระวังรักษาสุขภาพอย่าตรากตรำเกินไป
- รักษาร่างกายให้สะอาด และระวังอย่าให้เกิดบาดแผล
- หมั่นตรวจน้ำตาลในปัสสาวะ
- ออกกำลังกายแต่พอควรสม่ำเสมอ
- ถ้ามีอาการอ่อนเพลีย ตกใจ หวิวใจสั่น เหงื่อออก หรือมีอาการปวดศีรษะตามัว ให้รับประทานน้ำหวาน หรือน้ำตาลเข้าทันที ทั้งนี้เนื่องจากรับประทานอาหารไม่เพียงพอกับยา แต่ถ้าได้รับประทานอาหารที่น้ำตาล มากเกินไปและได้อินซูลินหรือยาน้อย ผู้ป่วยจะมีอาการง่วงผิวหนังร้อนผ่าว คลื่นไส้ อาเจียน หายใจมี กลิ่นคล้ายผลไม้ ถ้าทิ้วไว้อาจทำให้ไม่รู้สึกตัว ต้องรีบตามแพทย์ทันที
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรมีบัตรบ่งชี้ว่าเป็นเบาหวาน และกำลังรักษาด้วยยาชนิดใดอยู่เสมอ และควรมีขนมติดตัวไว้ด้วย
- อย่าปล่วยตัวให้อ้วนเพราะ 80% ของผู้ป่วยโรคนี้เกิดจากการอ้วนมาก่อน
- อย่าวิตกกังวลหรือเครียดมากเกินไป
- เบาหวานเป็นกรรมพันธุ์ได้ หากสงสัยว่าเป็นเบาหวานควรได้รับการตรวจเลือดจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
- ต้องระมัดระวัง เมื่ออายุเกิน 40 ปี ควรตรวจเลือดดูเบาหวานทุกปีเพราะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ง่าย
ซินโดรมเอกซ์ – ภาวะการดื้อต่อต้านอินซูลิน (Syndrome X-Insulin Resistance)
สังคมปัจจุบันที่นิยมรับประทานอาหารรสหวาน อาหารคาร์โบไฮเดรตสูง โดยเฉพาะที่เป็นเชิงเดี่ยว แป้งขาวแต่งละเอียด น้ำตาลเชิงเดี่ยว น้ำอัดลม ไอศครีม ขนมหวานต่าง ๆ หรือแม้แต่ข้าวขาว แป้งขาว ขนมปังและมันเทศ ซึ่งจัดเป็นอาหารในกลุ่มที่ดูดซึมเข้ากระแสเลือดเร็ว เมื่อเทียบกับพืช ผัก ผลไม้ที่มีรสหวานน้อยและมีใยไฟเบอร์
อาหารพวกนี้ที่กล่าวข้างต้นจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้เร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะไปกระตุ้นต่อมในตับอ่อนให้หลั่งอินซูลินออกมาเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดลง เพื่อรักษาระดับปกติ แต่ระดับลดลงมากกว่าปกติ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป ร่างกายต้องการน้ำตาล รู้สึกหิว จึงรับประทานอีกเป็นวงจรซ้ำๆ อยู่เรื่อยๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจมีความบกพร่องทางพันธุกรรมเป็นปัจจัยร่วม
อินซุลินจะถูกผลิตมากเกิน และเป็นการกระตุ้นให้ต่อมผลิตอินซุลินทำงานมากเกินไป เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายจะมีความไวต่ออินซุลินลดน้อยลงเรื่อย ๆ เพื่อที่ร่างกายจะควบคุมระดับน้ำตาลได้ ต่อมจะต้องผลิตอินซุลินลดน้อยลงเรื่อย ๆ เพื่อที่ร่างกายจะควบคุมระดับน้ำตาลได้ ต่อมจะต้องผลิตอินซุลินให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ภาวะของร่างกายที่เป็นไปเช่นนี้ เรียกว่า ซินโดรมเอกซ์ (Syndrome X) ซึ่งก็คือภาวะดื้อต่ออินซุลิน และเป็นภาวะที่ทำให้มีอินซุลินในเลือดสูง
เคล็ดลับสุขภาพที่เกี่ยวข้อง
เคล็ดลับความงาม
ปลา สุดยอดอาหารบำรุง
โดยทั่วไปแล้ว ปลา เป็นแหล่งโปรตีนที่หาได้ง่ายในบ้านเรา ทุกครัวเรือนล้วนหาปลามารับประทานเป็นอาหารได้อย่างไม่ลำบาก
เคล็ดลับความงาม
Chicken Recipe Basmati Rice
Basmati Rice is a variety of long grain rice grown in India and Pakistan
เคล็ดลับผิวสวยใส
ผิวสวย ที่เปลี่ยนไป
ลักษณะของผิวพรรณที่เริ่มจะหย่อนคล้อยลงตามแรงดึงดูดของโลก เป็นสัญญาณแห่งวัย
โรคภัยไข้เจ็บ
โรคปวดหลัง บริเวณเอวด้านซ้าย
พี่ชายน้องบิวเป็น โรคปวดกล้ามเนื้อหลัง Musculotendinous Strain ตรงบริเวณเอวด้านซ้าย ปวดมาหลายปีแล้ว แต่อาการไม่รุนแรงมาก
เคล็ดลับความงาม
Skin Food เครื่องสำอางค์ จาก เกาหลี
Skinfood เป็นยี่ห้อเครื่องสำอางค์จากประเทศเกาหลี มีขายตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป
เคล็ดลับความงาม
โยเกิร์ต ดีหรือไม่ มีคำตอบ
หลายคนคงเคยได้รับ fw mail มาแล้วเกี่ยวกับเรื่องของ หยุดทำร้ายลำไส้ด้วยโยเกิร์ต แต่รู้หรือไม่ว่าบทความที่เขียนขึ้น มีความเป็นจริงแค่ไหน